Land of smile หรือ “สยามเมืองยิ้ม” ดูจะเป็นนิยามของเมืองไทยที่คนในชาติและต่างชาติคุ้นหูมากที่สุด นอกจากธรรมชาติอันสวยงาม ใคร ๆ ไม่ว่าชนประเทศไหนมาท่องเที่ยวต่างประทับใจในรอยยิ้มและความเป็นกันเอง ง่าย ๆ สบาย ๆของคนไทย จนสิ่งเหล่านี้กลายเป็นเอกลักษณ์และเสน่ห์ดึงดูดให้คนจากทั่วทุกมุมโลกจองตั๋วมาไทย
อย่างไรก็ดี ภาพลักษณ์ดังกล่าวดูเหมือนจะเพิ่งแพร่หลายไม่นานมานี้เอง
เมื่อลองมองย้อนกลับไปให้ไกลอีกหน่อย เราจะพบหลักฐานหลายชิ้นที่พูดถึงลักษณะนิสัยของคนไทยในสายตาชาวต่างชาติ ซึ่งเขาเหล่านั้นไม่ได้เข้ามาในฐานะนักท่องเที่ยว แต่เป็นพ่อค้าเดินเรือเข้ามาค้าขายหรือไม่ก็มาเผยแผ่ศาสนา รวมถึงด้านการทูต ซึ่งเป็นเหตุให้ต้องคลุกคลัตีโมงกับคนไทยจนรู้นิสัย
เมื่อ 400 ปีที่แล้วมีชาวฮอลันดาเข้ามาตั้งห้างค้าขาย กล่าวในทำนองเดียวกับ ชาวอังกฤษที่เข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 2 รวมถึงชาวเยอรมัน ฝรั่งเศส ในรัชกาลที่ 4 และ 5 ที่ว่า “คนไทย ขี้เกียจ ขี้ขลาด ขี้โกง”
ตัวอย่างคำวิจารณ์ถึงนิสัยคนไทยตอนหนึ่ง ของ หมอกิศลับ มิชชันนารี ชาวเยอรมัน กล่าวว่า
“ ชาวสยามเป็นพวกโลเลมาก วันนี้มีความคิดอย่างหนึ่ง พรุ่งนี้เปลี่ยนเป็นอีกอย่างหนึ่งมิตรภาพของพวกเขาจึงเอาแน่นอนไม่ค่อยได้ …โดยส่วนใหญ่แล้ว ชาวสยามเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในด้านความซื่อสัตย์สุจริต แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ข้าพเจ้ากลับไม่ได้เห็นชาวสยามที่มีชื่อเสียงเช่นนี้เลยสักคน”
ขณะรายงานเกี่ยวกับเมืองไทย 183 ข้อ ของนายครอเฟิด ทูตอังกฤษซึ่งเข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 2 ก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน เช่น
ข้อ 84 ถ้าพิจารณาในแง่ที่ว่า ชาวสยามมีนิสัยขี้ขลาดตาขาว อันเป็นผลจากการบีบคั้นทางด้านสถาบันการเมืองเราก็อาจลงความเห็นว่า ชาวสยามไม่น่าจะทำศึกมีชัยชนะ และสามารถรักษาความเหนือกว่าพวกชาติเล็กๆ ที่กล้าหาญชาญชัยที่อยู่โดยรอบกรุงสยาม สิ่งที่น่าจะเป็นได้ตามความคิดเห็นของข้าพเจ้า ก็คือเรื่องทั้งหลายคงเกิดจากความเหนือกว่าในแง่ความเจริญ ซึ่งก็คงขึ้นอยู่กับความเหนือกว่าในแง่ทรัพยากร ความมั่งคั่งร่ำรวยที่เหนือกว่า และจำนวนประชากรที่มีมากกว่า มีความรู้สึกเคารพผู้มีอำนาจดีกว่า และความสามารถที่จะปรองดองกันกิจการบางอย่าง ที่ต้องการความคิดอ่านร่วมกัน ที่ดีกว่าชาติอื่น
แต่ที่กล่าวมาข้างต้นนั่นก็เป็นเพียงส่วนเดียวเท่านั้น นิสัยคนไทยเป็นอย่างไรต้องดูกันนานๆ และรอบด้าน แต่อย่างหนึ่งที่พอบอกได้คือ “คนไทยวันนี้ย่อมไม่เหมือนคนไทยในอดีต” เมื่อเราเรียนรู้บทเรียนในอดีต อยู่ที่เราแล้วว่าจะย่ำอยู่ที่เดิมหรือเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น
โลกออนไลน์ติง วัดธรรมกายจัดบุฟเฟ่ต์เลี้ยงพระ ผิดพระธรรมวินัย
วันที่ 15 ม.ค. เกิดกระแสร้อนในโลกออนไลน์ มีการแชร์ออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเพจเฟซบุ๊ก “SSBN- Thailand” โพสต์ภาพวัดธรรมกายจัดบุฟเฟ่ต์เลี้ยงพระสงฆ์ภายในวัด โดยมีภาพพระสงฆ์กำลังเดินเลือกตักอาหารแต่ละชนิดได้ตามใจชอบ
เบื้องต้นมีรายงานว่า อาหารที่นำมาจัดเลี้ยงพระสงฆ์ เช่น ซูชิซาชิมิแซลมอน สเต็กแซลมอน+แฟรนฟราย สลัดธัญพืช หม่าล่า ปลากระพงลวกจิ้ม ปลากระพงนิ่งมะนาว หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์นึ่ง หอยเซลล์ย่างชีส กุ้งอบเกลือ
เพจดังอ้างว่า อาหารบางชนิดถือว่าผิดพระธรรมวินัย เพราะพระบรมศาสดาไม่อนุญาตให้ภิกษุฉันอาหารดิบ รวมถึงลักษณะการฉันอาหารที่ต้องเดินไปเลือกอาหาร ถือว่าไม่เหมาะสมกับวัตรปฏิบัติของสงฆ์
วันที่ 14 ม.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม ลงพื้นที่จับกุมนายประเสริฐ อายุ 73 ปี ชาว จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งหลบหนีไปกบดานอยู่ จ.นราธิวาส หลังถูกออกหมายจับ ก่อเหตุพยายามข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงวัย 11 ปี
นายประเสริฐ สารภาพว่า เด็กหญิงคนดังกล่าวเป็นญาติกัน เมื่อ 5 ปีก่อน เด็กมาเงินกินขนมตามประสา จึงเกิดอารมณ์ชั่ววูบ หลอกเด็กเข้าไปในบ้าน พยายามข่มขืนแต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากเด็กเล็กเกินไป โดยพยายามก่อเหตุถึง 3 ครั้ง จนความแตก ตนเป็นคนที่ค่อนข้างมีอารมณ์ทางเพศสูง ตอนนี้ก็มีเมียทั้งหมด 4 คน
วันที่ 14 ม.ค. โลกออนไลน์รายงานเหตุเด็กชายวัย 10 ขวบ ขโมยเงินเพื่อนบาทเกือบ 1 แสนบาท บริเวณพื้นที่หมู่ 7 ต.โนนสมบูรณ์ อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น
นางอุทัย พรมอุตร์ อายุ 56 ปี ผู้เสียหาย กล่าวว่าหลังจากปิดร้านขายของชำ กลับบ้านพบข้าวของถูกรื้อค้น และเงิน 9 หมื่นบาทหายไป สอบถามเพื่อนบ้านใกล้เคียงจึงรู้ว่า ด.ช.เอ (นามสมมติ) เป็นผู้เอาไป จึงได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป